Main Point
- แบล็คลิสต์ สถานะที่บุคคลมีประวัติชำระหนี้ไม่ดีในระบบเครดิตบูโร (ศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ) เช่น ผิดนัดชำระหนี้เกิน 90 วัน หรือค้างชำระหนี้นานเกินกำหนด ทำให้สถาบันการเงินมองว่าเป็นผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้มีโอกาสที่สถาบันการเงินจะไม่อนุมัติสินเชื่อได้
- เครดิตบูโรจะเก็บข้อมูลหนี้เสียไว้สูงสุด 3 ปี เมื่อผู้กู้ชำระหนี้ครบหรือปิดบัญชีแล้ว ช่วงเวลานี้ควรวางแผนฟื้นฟูเครดิตด้วยการจ่ายหนี้ตรงเวลา ไม่สร้างหนี้เกินจำเป็น เพื่อสร้างประวัติการเงินที่ดีในอนาคต
เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนกู้ซื้อบ้านไม่ผ่าน ทั้งที่รายได้ก็สูง? บางครั้งอาจอยู่ที่ประวัติแบล็คลิสต์ เพราะเพียงการค้างชำระหนี้ไม่กี่วันก็อาจทำให้ชื่อของคุณอยู่ในระบบเครดิตบูโร และส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน Bangkok CitiSmart ชวนทำความเข้าใจว่า “แบล็คลิสต์ (Blacklist)” คืออะไร เกิดจากอะไร มีผลกระทบอย่างไรต่อการขอสินเชื่อ พร้อมแนะนำวิธีตรวจสอบ แก้ไข และวางแผนการเงินเพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปติดแบล็คลิสต์อีกครั้ง
แบล็คลิสต์ คืออะไร ต่างจากเครดิตบูโรหรือไม่?

แบล็คลิสต์ (Blacklist) คือ สถานะที่บุคคลมีประวัติผิดนัดชำระหนี้หรือที่เรียกว่าหนี้เสีย ซึ่งหมายถึงการค้างชำระหนี้ต่อเนื่องเกิน 90 วัน โดยข้อมูลดังกล่าวจะถูกบันทึกไว้ในระบบของศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) และอาจส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่อจากสถาบันการเงินในอนาคต
ส่วนเครดิตบูโรหรือศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (National Credit Bureau: NCB) เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลทางการเงินของบุคคลและนิติบุคคล ที่เคยขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่าง ๆ โดยข้อมูลจะสะท้อนพฤติกรรมการชำระหนี้ของผู้กู้ ทั้งประวัติการชำระย้อนหลัง ยอดหนี้คงค้าง และสถานะบัญชี จากนั้นข้อมูลเหล่านี้จะถูกใช้โดยสถาบันการเงินในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือทางการเงินของผู้กู้
ความแตกต่างระหว่างคำว่า “แบล็คลิสต์” และ “เครดิตบูโร”
| หัวข้อ | เครดิตบูโร (Credit Bureau) | แบล็คลิสต์ (Blacklist) |
| ความหมาย | ศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จัดทำหน้าที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลสินเชื่อของบุคคลและนิติบุคคล | สถานะกลุ่มลูกหนี้ที่มีประวัติผิดนัดชำระหนี้ |
| สถานะทางกฎหมาย | เป็นองค์กรทางการ จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย เพื่อให้ข้อมูลแก่สถาบันการเงิน | ไม่ใช่ระบบหรือหน่วยงานทางการ เป็นเพียงคำเรียกทั่วไปของประชาชน |
| ลักษณะข้อมูล | แสดงข้อมูลสินเชื่อทั้งหมด เช่น ยอดหนี้คงค้าง ประวัติการชำระหนี้ และสถานะบัญชี | ไม่ได้เป็นข้อมูลจริงในระบบ |
| ผู้จัดทำ | จัดทำโดยศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) | ไม่มีหน่วยงานใดจัดทำโดยตรง |
| การจัดเก็บและลบข้อมูล | ข้อมูลหนี้เสียจะคงอยู่ในระบบเครดิตบูโร นานประมาณ 3 ปีหลังปิดบัญชี | ไม่มีระบบจัดเก็บหรือลบ |
ติดแบล็คลิสต์กู้ซื้อบ้านหรือคอนโดได้ไหม?

ไม่สามารถกู้ซื้อบ้านหรือคอนโดได้ในทันที เพราะสถาบันการเงินจะมองว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการผิดนัดชำระหนี้อีกครั้ง เว้นแต่ผู้กู้จะดำเนินการชำระหนี้ทั้งหมดให้เรียบร้อย และปิดบัญชีสินเชื่อเก่าที่ค้างอยู่ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ปี หลังชำระครบประวัติถึงจะถูกลบออก หรือขอกู้ร่วมกับบุคคลในครอบครัวที่มีประวัติทางการเงินดี เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการพิจารณาสินเชื่อ
ติดแบล็คลิสต์กระทบอะไรบ้าง ?

1. ส่งผลต่อคะแนนเครดิตและความน่าเชื่อถือ
ทำให้คะแนนเครดิต (Credit Score) ลดลงซึ่งคะแนนนี้เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สถาบันการเงินใช้ในการตัดสินใจอนุมัติสินเชื่อและกำหนดวงเงิน ซึ่งหากผู้กู้มีคะแนนเครดิตต่ำก็อาจถูกปฏิเสธสินเชื่อหรือได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าผู้ที่มีคะแนนเครดิตสูงได้
2. ถูกปฏิเสธการขอสินเชื่อใหม่
เมื่อสถาบันการเงินตรวจพบประวัติการค้างชำระหนี้หรือหนี้เสียในระบบเครดิตบูโร มักจะปฏิเสธการอนุมัติสินเชื่อใหม่ทันที เพราะมองว่าผู้กู้มีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระซ้ำอีก
3. ไม่สามารถขอบัตรเครดิตได้
ผู้ที่มีประวัติผิดนัดชำระหนี้จะถูกมองว่าเป็นผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูง ธนาคารหรือสถาบันการเงินจึงอาจปฏิเสธการออกบัตรเครดิตใหม่ เพราะเกรงว่าจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
ประวัติแบล็คลิสต์เก็บย้อนหลังกี่ปี?

เครดิตบูโรจะแสดงประวัติสินเชื่อย้อนหลัง 3 ปี นับจากวันที่ผู้กู้ได้ปิดบัญชีสินเชื่อทั้งหมด เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถเห็นประวัติย้อนหลังของผู้กู้ได้
สาเหตุหลักที่ทำให้ติดแบล็คลิสต์มีอะไรบ้าง?

สาเหตุหลักที่ทำให้ติดแบล็กลิสต์แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักคือ การผิดนัดชำระหนี้และพฤติกรรมทางการเงินที่เสี่ยงหรือไม่น่าเชื่อถือ
การผิดนัดชำระหนี้: หนี้ทุกประเภทในระบบ เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อที่อยู่อาศัย หากผู้กู้ชำระล่าช้า เกิน 30 วัน สถาบันการเงินจะรายงานข้อมูลดังกล่าวไปยัง ศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เพื่อบันทึกไว้ในประวัติสินเชื่อของบุคคลนั้น และหากมีการค้างชำระต่อเนื่องเกินกว่า 90 วัน จะถูกจัดเป็นสถานะเครดิตเสีย และติดเครดิตบูโร
พฤติกรรมทางการเงินที่เสี่ยงหรือไม่น่าเชื่อถือ: แม้จะไม่มีการผิดนัดชำระหนี้โดยตรง แต่พฤติกรรมทางการเงินบางอย่างก็อาจทำให้ภาพลักษณ์ทางเครดิตเสียได้ เช่น การใช้วงเงินบัตรเครดิตเกินขอบเขตหรือการก่อหนี้หลายบัญชีจนทำให้สถาบันการเงินประเมินว่าผู้กู้มีความเสี่ยงสูง จึงไม่อนุมัติสินเชื่อใหม่
ถ้าติดแบล็คลิสต์ จะแก้ไขประวัติได้อย่างไรบ้าง?

เมื่อประวัติเครดิตบูโรเสียหรือติดแบล็คลิสต์ ยังคงสามารถแก้ไขและฟื้นฟูประวัติทางเครดิตได้ ผ่านการชำระหนี้เก่าที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นและสร้างประวัติเครดิตใหม่ให้ดีขึ้น
1. ชำระหนี้เก่าที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น
เริ่มจากผู้กู้ควรรีบติดต่อเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดให้เรียบร้อย หากมีภาระหนี้หลายบัญชีหรือจำนวนมาก ควรเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ หรือขอลดหนี้ตามความสามารถในการชำระ เพื่อให้สามารถปิดบัญชีได้โดยเร็วที่สุด
2. สร้างประวัติเครดิตใหม่ให้ดีขึ้น
หลังจากชำระหนี้เก่าครบแล้ว ผู้กู้ควรเริ่มสร้างประวัติทางการเงินใหม่ โดยมีวินัยทางการเงิน เช่น ชำระหนี้ทุกบัญชีตรงเวลา ไม่ใช้วงเงินบัตรเครดิตจนเต็มวง และตรวจสอบรายงานเครดิตบูโรอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
สามารถเช็กแบล็คลิสต์หรือประวัติเครดิตบูโรได้อย่างไร?

ปัจจุบันสามารถเช็กแบล็คลิสต์หรือประวัติเครดิตบูโรได้หลากหลายช่องทาง ทั้งบนแอปพลิเคชันทางรัฐ ทางออนไลน์ (E-Credit Report) ไปรษณีย์ และด้วยตนเอง ผ่านตู้คีออส
เช็กเครดิตบูโรด้วยตนเองผ่านตู้คีออส
ค่าบริการ: 100 บาท
ระยะเวลา: รับผลได้ทันที ภายใน 15 นาที
เอกสารที่ใช้: บัตรประชาชนตัวจริงหรือหนังสือเดินทาง
สถานที่ให้บริการหลัก:
ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร อาคาร เดอะไนน์ ทาวเวอร์ส แกรนด์ พระราม 9 ชั้น 2 (โซนพลาซา) วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00-16.30 น.
สถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต (ภายในสถานี) ทุกวัน เวลา 09.00-18.00 น.
สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อ) ทุกวัน เวลา 08.00-20.00 น.
ศูนย์การค้า ดิ อเวนิว รัชโยธิน กรุงเทพฯ ชั้น 4 ทุกวัน เวลา 09.00-19.00 น.
เช็กเครดิตบูโรผ่านทางออนไลน์ (E-Credit Report)
ค่าบริการ: รายงานข้อมูลเครดิต 150 บาทต่อฉบับ และรายงานข้อมูลเครดิตและคะแนนเครดิต (Credit Score) 200 บาทต่อฉบับ
ระยะเวลา: ภายใน 24 ชั่วโมง
ช่องทางยื่นคำร้อง: ผ่านโมบายแอปของธนาคาร เช่น KKP e-Banking TMB Touch MyMo by GSB Krungthai Next และบริการเป๋าตังเปย์ โดยผลรายงานเครดิตจะส่งทางอีเมล
เช็กเครดิตบูโรผ่านทางไปรษณีย์
ค่าบริการ: 150 บาท
ระยะเวลา: ภายใน 7-15 วันทำการ
ช่องทางยื่นคำร้อง: ยื่นคำร้องพร้อมสำเนาบัตรประชาชน ไปยังบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) ผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร ที่ทำการไปรษณีย์ หรือตู้ ATM บางธนาคาร
เช็กเครดิตบูโรผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ
ค่าบริการ: ฟรี (เฉพาะรายงานแบบสรุปย่อ)
ระยะเวลา: ทราบผลทันที
วิธีการ: ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันทางรัฐ จากนั้นเข้าสู่ระบบแล้วเลือกเมนู “ตรวจสอบเครดิตบูโร”
วางแผนการเงินอย่างไรให้ไม่ติดแบล็คลิสต์?

สำหรับใครที่ไม่อยากติดแบล็คลิสต์ สามารถวางแผนการเงินได้ง่าย ๆ จากการวางแผนรายรับ-รายจ่ายให้เป็นระบบ ขอสินเชื่อเพียงเท่าที่จำเป็น ชำระหนี้ให้ตรงเวลาเสมอ เตรียมเงินสำรองฉุกเฉินให้พร้อมอย่างน้อย 6 - 12 เดือน
1. วางแผนรายรับ-รายจ่ายให้เป็นระบบ:
ทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือน เพื่อดูสัดส่วนค่าใช้จ่ายและปรับลดสิ่งที่ไม่จำเป็น การเห็นภาพรวมรายจ่ายจะช่วยวางแผนการชำระหนี้ได้แม่นยำขึ้น
2. ขอสินเชื่อเพียงเท่าที่จำเป็น
ก่อนขอสินเชื่อควรประเมินรายได้ต่อเดือนและภาระหนี้ที่ต้องจ่าย โดยทั่วไปไม่ควรมีภาระหนี้รวมเกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน เพื่อให้มีเงินเหลือใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวันและมีเงินออมใช้จ่ายยามฉุกเฉิน
3. ชำระหนี้ให้ตรงเวลาเสมอ
การชำระหนี้ล่าช้าแม้เพียง 1-2 วันก็อาจกระทบคะแนนเครดิตได้ ควรตั้งงบสำหรับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนไว้และระบบเตือนชำระ เช่น ตั้งแจ้งเตือนในโทรศัพท์หรือหักบัญชีอัตโนมัติ
4. เตรียมเงินสำรองฉุกเฉินให้พร้อมอย่างน้อย 6-12 เดือน
ควรเก็บเงินสำรองไว้ไม่น้อยกว่า 6-12 เดือน เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น เจ็บป่วย หรือตกงาน จะได้ไม่ต้องผิดนัดชำระหนี้
คำถามน่ารู้เกี่ยวกับการติดแบล็คลิสต์
1. ข้อมูลเครดิตคืออะไร เกี่ยวข้องกับการติดแบล็คลิสต์อย่างไร?
ข้อมูลเครดิต คือ ข้อมูลประวัติทางการเงินของบุคคล เช่น การขอสินเชื่อ การชำระหนี้ และยอดค้างชำระ ซึ่งจัดเก็บโดยบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เพื่อใช้ประเมินความน่าเชื่อถือทางการเงิน หากมีประวัติผิดนัดชำระหนี้ ข้อมูลนี้จะถูกบันทึกไว้และทำให้สถานะติดแบล็คลิสต์ได้
2. ถ้าติดแบล็คลิสสามารถเป็นผู้ค้ำประกันได้ไหม?
สามารถเป็นผู้ค้ำประกันได้ เพราะไม่มีบทบัญญัติห้ามไว้ แต่จะได้รับการอนุมัติหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของสถาบันการเงิน ซึ่งมักพิจารณาจากประวัติทางเครดิต หากมีประวัติหนี้เสียหรือค้างชำระ ธนาคารก็มีสิทธิปฏิเสธการให้ค้ำประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงได้
3. ถ้าติดแบล็คลิสต์ สามารถทำพาสปอร์ตได้ไหม?
สามารถทำพาสปอร์ตได้ เพราะการติดแบล็คลิสต์ทางการเงินเป็นเรื่องของข้อมูลการชำระหนี้ในระบบเครดิตบูโร ไม่เกี่ยวกับสิทธิการเดินทางระหว่างประเทศ
4. หลังหลุดแบล็คลิสต์แล้ว ควรทำอย่างไรต่อ?
รักษาวินัยทางการเงินใหม่ พร้อมสร้างประวัติเครดิตที่ดี และวางแผนการเงินระยะยาวเพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปมีปัญหาติดแบล็คลิสต์ซ้ำอีก
รวมเรื่องควรรู้เกี่ยวกับสินเชื่อเพื่อบ้านและคอนโด ตามอ่านต่อได้ที่
เลือกโครงการดีไซน์สวย ลงตัวทุกการใช้ชีวิต ต้องที่ Bangkok CitiSmart

หากคุณกำลังมองหาโครงการบ้านและคอนโดที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ให้ Bangkok CitiSmart บริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ด้วยทีมงานมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ช่วยคุณเลือกสรรทำเลที่มีศักยภาพ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า พร้อมทั้งให้คำแนะนำและดูแลการลงทุน เช่า หรือขายทรัพย์สินได้อย่างมืออาชีพ เพื่อให้ลูกค้าลงทุนได้อย่างมั่นใจในอนาคต
ปรึกษารายละเอียดกับเจ้าหน้าที่ คลิก!
สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
📱 โทร: 02-661-8999
💬 Line Official:@bangkokcitismart
ค้นหาคอนโดบนทำเลอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่
📍 รวมประกาศซื้อขายคอนโดติดรถไฟฟ้า
📍 รวมประกาศซื้อขายคอนโดใกล้มหาลัย
📍 รวมประกาศซื้อขายคอนโดสุขุมวิท
📍 รวมประกาศซื้อขายคอนโดพระราม 4
📍 รวมประกาศซื้อขายคอนโดพระราม 9



