Main Point
การกู้ร่วมซื้อบ้านหรือคอนโด คือการที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมีผู้กู้หลัก 1 คน และผู้กู้ร่วมได้อีก 1-2 คน ร่วมทำสัญญาเงินกู้ในสัญญาเดียวกัน เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยธนาคารจะนำรายได้ของผู้กู้ทุกคนมารวมกันในการพิจารณา เพื่อเพิ่มวงเงินกู้ได้สูงขึ้น เพิ่มโอกาสได้รับอนุมัติ และแบ่งเบาภาระการผ่อนชำระรายเดือนให้สบายขึ้น
การกู้ร่วมสามารถกู้ได้ไม่เกิน 3 คน โดยสามารถทำได้กับบุคคลใกล้ชิด เช่น คนในครอบครัว คู่สมรส คู่รักที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย คู่รัก LGBTQ+ รวมถึงคู่รักที่ไม่ได้จดทะเบียนหรือเพื่อน ทั้งนี้ธนาคารอาจขอเอกสารยืนยันความสัมพันธ์เพิ่มเติมและพิจารณาเป็นรายกรณี
เมื่อรายได้เพียงคนเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดที่ต้องการ การกู้ร่วมจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้สินเชื่อผ่านง่าย ได้วงเงินกู้สูงขึ้น และแบ่งเบาภาระการผ่อนชำระในระยะยาว Bangkok CitiSmart รวมครบทุกข้อควรรู้เกี่ยวกับกู้ร่วมซื้อบ้าน-คอนโดว่าเหมาะกับใคร และต้องเตรียมตัวอย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การกู้ร่วมซื้อบ้าน-คอนโด คืออะไร?

การกู้ร่วมซื้อบ้าน-คอนโด คือ การร่วมทำสัญญาโดยมีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปร่วมกันกู้ รวมกันแล้วไม่เกิน 3 คน โดยมีผู้กู้หลัก 1 คน และผู้กู้ร่วมอีก 1-2 คน เพื่อเพิ่มความสามารถในการกู้วงเงินให้สูงขึ้น
คุณสมบัติของผู้กู้ร่วมซื้อบ้าน-คอนโด กู้ร่วมกับใครได้บ้าง?

เนื่องจากธนาคารจะพิจารณาความสัมพันธ์ ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการรับผิดชอบหนี้ของผู้กู้ร่วมทุกคน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจกู้ร่วมควรทำความเข้าใจว่า ใครบ้างที่สามารถเป็นผู้กู้ร่วมได้ ดังนี้
1. คนในครอบครัวเดียวกัน
ทั้งกรณีที่มีสายเลือดเดียวกัน ไม่ว่าจะพ่อแม่ ลูก หรือพี่น้อง แม้นามสกุลต่างกัน รวมถึงกรณีบุตรบุญธรรม ทั้งนี้ ผู้กู้ร่วมจะต้องมีเอกสารทางราชการยืนยันความสัมพันธ์ เช่น สูติบัตร เอกสารทะเบียนบ้าน เพื่อประกอบการพิจารณาของธนาคาร
2. คู่สมรส และ LGBTQIAN+
คู่รักที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงคู่สมรส LGBTQIAN+ ตามกฎหมายสมรสเท่าเทียมสามารถกู้ร่วมซื้อบ้านหรือคอนโดได้ โดยใช้เอกสารยืนยันความสัมพันธ์ เช่น ทะเบียนสมรส รูปถ่ายงานมงคลสมรส เพื่อใช้ในการพิจารณา
3. คู่รักที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
สามารถกู้ร่วมกันได้ แต่ธนาคารอาจพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ โดยมักต้องมีหลักฐานยืนยันความสัมพันธ์ เช่น รูปถ่ายคู่ในงานแต่งงานหรือพิธีผูกพัน หลักฐานการมีบุตรร่วมกัน ทะเบียนบ้านที่แสดงการอยู่อาศัยร่วมกัน หรือหลักฐานทางการเงินที่มีการใช้ร่วมกัน
ข้อดีของการกู้ร่วมซื้อบ้าน-คอนโด มีอะไรบ้าง?

การมีผู้กู้ร่วมช่วยเพิ่มศักยภาพทางการเงินและลดข้อจำกัดในการขอสินเชื่อ ทั้งในแง่ของวงเงิน ความน่าเชื่อถือ และภาระการผ่อนชำระ โดยสามารถสรุปได้เป็น 3 ประเด็นหลัก ดังนี้
1. เพิ่มวงเงินกู้สูงขึ้น
การกู้ร่วมช่วยให้ธนาคารนำรายได้รวมของผู้กู้มาพิจารณาในการคำนวณความสามารถในการผ่อนชำระทำให้คุณสามารถขอวงเงินสินเชื่อได้สูงขึ้น
เช่น นาย A มีเงินเดือน 30,000 บาท และไม่มีหนี้สินอื่น ซึ่งธนาคารมักพิจารณาให้ภาระผ่อนบ้านไม่เกินประมาณ 40% ของรายได้
กรณีกู้คนเดียว: นาย A จะผ่อนได้ประมาณ 30,000 × 40% = 12,000 บาทต่อเดือน หากคำนวณเป็นวงเงินสินเชื่อบ้าน นาย A จะกู้ได้ประมาณ 1.71 ล้านบาท
กรณีกู้ร่วม: นาย A กู้ร่วมกับนาง B ที่มีเงินเดือน 25,000 บาท เท่ากับว่า มีรายได้รวมกัน 55,000 บาท จะผ่อนได้ประมาณ 55,000 × 40% = 22,000 บาทต่อเดือน เมื่อคำนวณด้วยเงื่อนไขเดียวกันจะสามารถกู้ได้ประมาณ 3.14 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า การกู้ร่วมช่วยเพิ่มวงเงินกู้ให้สูงขึ้น และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการซื้อบ้านหรือคอนโดที่มีราคาสูงขึ้น หรืออยู่ในทำเลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
2. เพิ่มโอกาสกู้ผ่าน
เนื่องจากธนาคารจะพิจารณาฐานรายได้ ประวัติทางการเงิน และอัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt-to-Income Ratio: DTI) ของผู้กู้ทุกคนร่วมกัน การมีผู้กู้ร่วมที่มีฐานะทางการเงินดี มีรายได้มั่นคง และประวัติการชำระหนี้ที่ดี จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของผู้ยื่นกู้ ส่งผลให้ธนาคารประเมินความเสี่ยงได้ต่ำลง และทำให้มีโอกาสได้รับการอนุมัติสินเชื่อได้ง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับการกู้เพียงคนเดียว
3. ผ่อนสบายขึ้น
การมีผู้กู้ร่วมช่วยแบ่งเบาภาระในการผ่อนชำระรายเดือน ทำให้ยอดผ่อนต่อคนลดลงเมื่อเทียบกับการแบกรับภาระเพียงลำพัง ส่งผลให้การวางแผนและบริหารการเงินรายเดือนทำได้ง่ายและคล่องตัวมากขึ้น ทั้งยังช่วยลดแรงกดดันด้านภาระหนี้ และเพิ่มความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
5 ข้อพิจารณาในการกู้ร่วมซื้อบ้าน-คอนโด
1. ความรับผิดชอบหนี้สิน

การกู้ร่วมไม่ได้หมายความว่าเป็นการแบ่งหนี้กันตามสัดส่วนของจำนวนผู้กู้ แต่ในมุมมองของธนาคาร ผู้กู้ร่วมทุกคนจะมีสถานะเป็นลูกหนี้ร่วมกัน และต้องร่วมรับผิดชอบหนี้สินทั้งหมด 100% ตามสัญญาเงินกู้
กล่าวคือหากผู้กู้ร่วมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถผ่อนชำระได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ธนาคารมีสิทธิเรียกให้ผู้กู้ร่วมอีกฝ่าย รับผิดชอบชำระหนี้เต็มจำนวนทั้งหมด โดยไม่จำเป็นต้องแบ่งสัดส่วนตามที่ตกลงกันไว้
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจกู้ร่วม ควรพิจารณาให้รอบคอบและมีการตกลงกันให้ชัดเจน และมีแผนรองรับกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถผ่อนได้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงินและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
2. การใส่ชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ในการกู้ร่วม

ในการกู้ร่วมซื้อบ้านหรือคอนโด การใส่ชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินถือเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา เนื่องจากความเป็นผู้กู้ร่วมและความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นคนละส่วนกัน โดยรูปแบบการใส่ชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ในการกู้ร่วมสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีหลัก ดังนี้
เจ้าของกรรมสิทธิ์มีชื่อเพียงคนเดียว: ในกรณีนี้จะมีผู้กู้ร่วมเพียงบางคนเท่านั้นที่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านหรือคอนโด ขณะที่ผู้กู้ร่วมอีกฝ่ายไม่มีกรรมสิทธิ์ใด ๆ ในทรัพย์สิน
ผู้กู้ร่วมทุกคนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน: ผู้กู้ร่วมทุกคนจะมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านหรือคอนโด และมีสิทธิในทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ รวมถึงหากต้องการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน เช่น การขาย การโอน การจำนองเพิ่มเติม หรือการจัดทำเอกสารทางกฎหมายต่าง ๆ จะต้องได้รับความยินยอมหรือความเห็นชอบจากผู้กู้ร่วมทุกคน
3. การขอกู้ในครั้งถัดไป

การกู้ร่วมซื้อบ้านหรือคอนโด อาจส่งผลต่อความสามารถในการขอสินเชื่อในอนาคตของผู้กู้ร่วมทุกคน เนื่องจากธนาคารจะนำภาระหนี้จากการกู้ร่วมครั้งนี้ไปคำนวณรวมในอัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt-to-Income Ratio: DTI) จึงอาจทำให้ความสามารถในการกู้ลดลง หรือได้วงเงินน้อยกว่าที่คาดไว้ และในบางกรณีอาจส่งผลให้สินเชื่อไม่ผ่านการอนุมัติ
4. การใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี

สำหรับสิทธิ์การลดหย่อนภาษีจากดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย ผู้ที่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ ต้องเป็นผู้ที่มีชื่อเป็นผู้กู้ตามสัญญา และต้องแจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิ์ลดหย่อนต่อธนาคารเท่านั้น จึงจะสามารถนำดอกเบี้ยเงินกู้ที่ชำระจริงมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่จ่ายจริง โดยไม่เกินวงเงินที่กฎหมายกำหนด ซึ่งปัจจุบันกำหนดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี เมื่อรวมทุกสัญญา
ในกรณีที่มีผู้กู้ร่วมหลายคนและมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีจะถูก เฉลี่ยให้เท่ากันตามจำนวนผู้กู้ร่วม โดยไม่พิจารณาจากสัดส่วนการชำระของแต่ละคน ว่าใครเป็นผู้ผ่อนมากหรือน้อยกว่า อีกทั้งผู้กู้ร่วมแต่ละคนสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้เฉพาะในส่วนของตนเองเท่านั้น และไม่สามารถโอนสิทธิ์ให้แก่ผู้อื่นได้ แม้ตนจะไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีจากดอกเบี้ยบ้านก็ตาม
5. การขอยกเลิกการกู้ร่วม

การกู้ร่วมเมื่อทำสัญญาไปแล้ว ไม่สามารถยกเลิกหรือถอนชื่อผู้กู้ร่วมออกจากสัญญาเงินกู้ได้โดยทันที ตามความประสงค์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากสัญญาเงินกู้ถือเป็นข้อตกลงทางกฎหมายที่มีผลผูกพันกับธนาคาร ผู้กู้ร่วมทุกคนยังคงมีสถานะเป็นลูกหนี้ร่วม และต้องรับผิดชอบหนี้สินทั้งหมดตามสัญญา
หากมีความจำเป็นต้องยกเลิกการกู้ร่วม หรือถอดชื่อผู้กู้ร่วมออกจากสัญญา โดยทั่วไปสามารถยกเลิกได้ด้วย 3 วิธีคือ
ถอดถอนชื่อผู้กู้ร่วม: สามารถทำได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ว่าใครจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และอีกฝ่ายยินยอมโอนกรรมสิทธิ์ให้ โดยธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ที่ถือกรรมสิทธิ์เพียงคนเดียว
รีไฟแนนซ์จากกู้ร่วมเป็นกู้คนเดียว: เป็นทางเลือกในกรณีที่ธนาคารเดิมไม่อนุมัติให้ถอดชื่อผู้กู้ร่วม โดยต้องยื่นขอสินเชื่อใหม่กับธนาคารอื่น ซึ่งธนาคารจะประเมินรายได้ ภาระหนี้ ประวัติการชำระเงิน และเครดิตบูโร หากผู้กู้มีศักยภาพเพียงพอจึงจะได้รับอนุมัติ
ขายบ้านเพื่อปิดการกู้ร่วม: หากทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการถือครองบ้านต่ออาจตัดสินใจเลือกที่จะขายบ้าน เพื่อนำไปปิดหนี้กับธนาคาร
การกู้ร่วมซื้อบ้าน-คอนโดใช้เอกสารอะไรบ้าง?

การกู้ร่วมซื้อบ้านหรือคอนโด ผู้กู้ทุกคนจะต้องยื่นเอกสาร เพื่อให้ธนาคารนำไปพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ โดยเอกสารหลัก ๆ สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
เอกสารส่วนบุคคล
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือ บัตรข้าราชการ
สำเนาทะเบียนบ้าน
สำเนาใบเปลี่ยนแปลงชื่อ-นามสกุล (หากมี)
สำเนาทะเบียนสมรส/ใบหย่า (ถ้ามี)
เอกสารแสดงรายได้และฐานะการเงิน
กรณีเป็นพนักงานประจำ: สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน หนังสือรับรองเงินเดือน และรายการเดินบัญชีย้อนหลัง (Statement) 6 เดือน
กรณีประกอบอาชีพอิสระ/เจ้าของกิจการ: รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6-12 เดือน หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท/ทะเบียนพาณิชย์ (ถ้ามี) หลักฐานการเสียภาษีเงินได้ และเอกสารแสดงรายได้ เช่น ใบเสร็จรับเงิน สัญญาจ้าง หรือเอกสารอื่นตามที่ธนาคารกำหนด
กรณีข้าราชการบำนาญ: บัตรรับเงินบำนาญ หรือ ใบแนบหนังสือสั่งจ่าย รวมถึงเอกสารแสดงการเดินบัญชี (Statement) 3-6 เดือนขึ้นไป
เอกสารเกี่ยวกับบ้านหรือคอนโด
สัญญาจะซื้อจะขาย/ใบจอง
สำเนาโฉนดที่ดิน/นส.3ก./หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อช.2 / อช.3) หากเป็นที่ซื้อต่อจากเจ้าของเดิมต้องรับรองสำเนาโดยเจ้าพนักงานที่ดิน
แบบแปลนบ้าน (กรณีปลูกสร้างเอง)
ใบอนุญาตปลูกสร้าง (ถ้ามี)
เอกสารยืนยันความสัมพันธ์ในการกู้ร่วมซื้อบ้าน-คอนโด
ในกรณีที่ผู้กู้ร่วมไม่ได้เป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย หรือมีนามสกุลต่างกัน ธนาคารอาจขอเอกสารเพิ่มเติมเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาความสัมพันธ์ ดังนี้
ครอบครัวสายเลือดเดียวกัน: สูติบัตร ทะเบียนบ้านที่แสดงความสัมพันธ์ เช่น พ่อ แม่ ลูก หรือพี่น้อง รวมถึงเอกสารทางราชการอื่นที่สามารถยืนยันความสัมพันธ์ได้
คู่รักที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส: รูปถ่ายคู่ในงานแต่งงานหรืองานหมั้น ทะเบียนบ้านที่แสดงการอยู่อาศัยร่วมกัน หนังสือรับรองบุตรหรือสูติบัตรบุตร (กรณีมีบุตรร่วมกัน) รวมถึงหลักฐานทางการเงินร่วมกัน อาทิ บัญชีธนาคารร่วม สัญญาเช่าที่อยู่อาศัยร่วม หรือหลักฐานการโอนเงินค่าใช้จ่ายร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อนหรือบุคคลที่ไม่ใช่ญาติ: หลักฐานที่แสดงความสัมพันธ์หรือการอยู่ร่วมกัน 1 ปีขึ้นไป ตามที่ธนาคารกำหนด เช่น ทะเบียนบ้านที่อยู่ด้วยกัน หรือบัญชีเงินฝากที่เปิดร่วมกัน
กู้ร่วมซื้อบ้าน-คอนโดได้วงเงินเท่าไหร่ คำนวณอย่างไร?

ธนาคารจะนำรายได้ของผู้กู้ร่วมทุกคนมารวมกัน เพื่อประเมินความสามารถในการผ่อนชำระ โดยมีวิธีคำนวณดังนี้
1. คำนวณจากรายได้รวมของผู้กู้ร่วม โดยหักภาระหนี้ต่อรายได้
เริ่มจากการนำรายได้ต่อเดือนของผู้กู้ร่วมทุกคนมารวมกัน จากนั้นนำภาระหนี้เดิมของผู้กู้แต่ละคน เช่น ค่าผ่อนรถ บัตรเครดิต หรือสินเชื่ออื่น ๆ มาหักออก เพื่อคำนวณเป็นรายได้สุทธิ โดยธนาคารจะพิจารณาเพียง 60-70% เพื่อให้การผ่อนไม่กระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น
นาย A รายได้ 35,000 บาท - ภาระหนี้ 7,000 บาท = รายได้สุทธิ 28,000 บาท
นางสาว B รายได้ 25,000 บาท ไม่มีหนี้ = รายได้สุทธิ 25,000 บาท
จากนั้นธนาคารจะนำรายได้สุทธิมาคิด 70% นาย A = 19,600 บาท นางสาว B = 17,500 บาท ดังนั้นความสามารถผ่อนชำระร่วมกันต่อเดือนสูงสุด = 37,100 บาทต่อเดือน
2. แปลงความสามารถผ่อนชำระต่อเดือนเป็นวงเงินกู้
เมื่อทราบความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือนแล้ว ธนาคารจะนำตัวเลขดังกล่าวมาแปลงเป็น วงเงินกู้สูงสุด โดยพิจารณาจากอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลากู้ ซึ่งมีสูตรคำนวณมาตรฐานคือ ผ่อนประมาณ 7,000 บาทต่อเดือน สำหรับวงเงินกู้ 1 ล้านบาท
ความสามารถผ่อนชำระร่วมกันต่อเดือนสูงสุด ÷ 7,000 = วงเงินกู้ร่วมซื้อบ้าน-คอนโด
จากตัวอย่าง นาย A และ นาง B: 37,100 ÷ 7,000 = ขอวงเงินได้สูงสุด 5.3 ล้านบาท
หมายเหตุ: การคำนวณวงเงินกู้ร่วมดังกล่าวเป็นเพียงการประเมินเบื้องต้นเท่านั้น วงเงินกู้ที่ธนาคารอนุมัติอาจแตกต่างไปจากนี้ โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น อัตราดอกเบี้ยและระยะเวลากู้ อายุของผู้กู้ร่วมแต่ละคน ประเภทอาชีพและความมั่นคงของรายได้ ราคาประเมินบ้านหรือคอนโดของธนาคาร ดังนั้น ผู้ที่สนใจควรสอบถามเงื่อนไขกับสถาบันการเงินโดยตรงเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ของตนเองมากที่สุด
อัปเดตล่าสุด! หลักเกณฑ์ LTV สำหรับกู้ร่วม

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับเกณฑ์มาตรการ LTV (Loan to Value) โดยผู้ที่เคยกู้ร่วมซื้อบ้านหรือคอนโด แต่ไม่มีชื่อในโฉนดและไม่ได้ถือกรรมสิทธิ์ จะถือว่ายังไม่เคยกู้ซื้อบ้านมาก่อน และยังคงได้รับสิทธิ LTV สูงสุด 100% เมื่อต้องการซื้อบ้านเป็นของตนเอง ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึง 30 มิถุนายน 2569
คำถามน่ารู้ก่อนกู้ร่วมซื้อบ้าน-คอนโด
กู้ร่วมซื้อคอนโดต่างจากกู้ร่วมซื้อบ้านหรือไม่?
การกู้ร่วมซื้อคอนโดและกู้ร่วมซื้อบ้านไม่ต่างกัน โดยธนาคารจะพิจารณาจากรายได้รวมของผู้กู้ร่วมทุกคนและให้รับผิดชอบหนี้สินร่วมกัน 100% ตลอดอายุสัญญา
กู้ร่วมซื้อบ้านและค้ำประกันแตกต่างกันอย่างไร?
กู้ร่วมซื้อบ้าน คือการเป็นลูกหนี้ร่วมและอาจแบ่งความเป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกัน โดยธนาคารจะนำรายได้ของผู้กู้ร่วมทุกคนมาคำนวณวงเงิน และสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ตามสัดส่วน ขณะที่การค้ำประกัน ผู้ค้ำจะไม่มีกรรมสิทธิ์ในบ้าน รายได้ไม่ถูกนำไปคำนวณวงเงิน และจะรับผิดชอบหนี้ก็ต่อเมื่อผู้กู้ผิดนัด โดยไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน
คู่รัก LGBTQ+ กู้ร่วมซื้อบ้าน มีขั้นตอนต่างจากคู่รักชายหญิงหรือไม่?
คู่รัก LGBTQ+ ที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม สามารถกู้ร่วมซื้อบ้านได้เช่นเดียวกับคู่รักชายหญิง ทั้งในด้านขั้นตอน เอกสาร สิทธิ์ทางกฎหมาย และสิทธิ์ทางภาษี ทั้งนี้ บางธนาคารอาจขอเอกสารยืนยันความสัมพันธ์เพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณา
คู่รักที่กู้ร่วมซื้อบ้านแล้วเลิกกันภายหลัง ควรทำอย่างไร?
หากคู่รักกู้ร่วมซื้อบ้านแล้วเลิกกัน สามารถตกลงได้ 3 ทางเลือกคือ ถอดชื่อผู้กู้ร่วม รีไฟแนนซ์เปลี่ยนจากกู้ร่วมเป็นกู้คนเดียว หรือขายบ้านเพื่อปิดหนี้ ทั้งนี้ทุกวิธีต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย และขึ้นอยู่กับความสามารถในการผ่อนชำระตามเกณฑ์ธนาคาร
กรณีที่ผู้กู้ร่วมซื้อบ้านเสียชีวิต ควรทำอย่างไร?
กรณีผู้กู้ร่วมเสียชีวิตแล้วสัญญาเงินกู้ยังคงมีผล จะต้องแจ้งให้ธนาคารทราบ จากนั้นธนาคารจะเรียกทายาทหรือผู้จัดการมรดกเข้ามาลงนามแสดงเจตนารับสภาพหนี้ภายใน 1 ปี โดยผู้กู้ร่วมที่เหลือหรือทายาทต้องรับผิดชอบหนี้ต่อ ทั้งนี้ให้ตรวจสอบก่อนว่ามีประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA) หรือไม่ หากมีประกันอาจชำระหนี้ให้ตามวงเงินหรือตามส่วนของผู้กู้ร่วมที่เสียชีวิต
รวมเรื่องควรรู้เกี่ยวกับสินเชื่อเพื่อบ้านและคอนโด ตามอ่านต่อได้ที่
แบล็คลิสต์ คืออะไร เรื่องสำคัญก่อนกู้เงินซื้อบ้าน-คอนโด
เลือกโครงการดีไซน์สวย ลงตัวทุกการใช้ชีวิต ต้องที่ Bangkok CitiSmart

หากคุณกำลังมองหาโครงการบ้านและคอนโดที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ให้ Bangkok CitiSmart บริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ด้วยทีมงานมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ช่วยคุณเลือกสรรทำเลที่มีศักยภาพ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า พร้อมทั้งให้คำแนะนำและดูแลการลงทุน เช่า หรือขายทรัพย์สินได้อย่างมืออาชีพ เพื่อให้ลูกค้าลงทุนได้อย่างมั่นใจในอนาคต
ปรึกษารายละเอียดกับเจ้าหน้าที่ คลิก!
สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
📱 โทร: 02-661-8999 💬 Line Official:@bangkokcitismart ค้นหาคอนโดบนทำเลแนะนำได้ที่ 📍 รวมประกาศซื้อขายคอนโดติดรถไฟฟ้า 📍 รวมประกาศซื้อขายคอนโดใกล้มหาลัย 📍 รวมประกาศซื้อขายคอนโดสุขุมวิท



