Main Point
วิธีปลูกผักสลัดแบบง่าย ๆ ไว้กินเอง มี 3 วิธีคือ การปลูกในกระถางที่ประหยัดพื้นที่ การปลูกในดินซึ่งดูแลง่ายและผักแข็งแรงเหมาะกับผู้ที่มีพื้นที่บ้านกว้าง และการปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ที่ช่วยให้ได้ผักเติบโตเร็ว สะอาด และใบกรอบอร่อย
ผักสลัดที่เหมาะกับการปลูกง่าย ๆ ไว้กินเองในบ้านหรือคอนโดมีให้เลือกหลากหลายชนิด เช่น กรีนโอ๊คและเรดโอ๊คที่ปลูกง่าย นำไปปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู บัตเตอร์เฮดที่มีรสอ่อนและเนื้อใบกรอบนุ่ม และเรดโครอลที่อุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานินเหมาะกับสาย Healthy ที่รักสุขภาพ
สำหรับคนเมืองที่ใส่ใจสุขภาพ การปลูกผักสลัดไว้กินเองเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทั้งง่ายและคุ้มค่า แม้มีพื้นที่จำกัดอย่างในคอนโดก็สามารถปลูกได้สบาย Bangkok CitiSmart รวบรวมวิธีปลูกผักสลัดแบบง่าย ๆ ไว้กินเอง พร้อมแนะนำผักสลัด 10 ชนิดที่ปลูกง่ายและปลูกได้ตลอดปี เพื่อให้มีผักสดกรอบและสะอาดพร้อมรับประทานแบบฟิน ๆ ได้ทุกวัน
วิธีปลูกผักสลัดในกระถางง่าย ๆ ที่บ้าน

วิธีปลูกผักสลัดง่าย ๆ ที่ใช้พื้นที่น้อย สำหรับไว้กินเองที่บ้านคือ การปลูกผักสลัดในกระถาง โดยเตรียมกระถาง ดิน เมล็ดผักสลัด และพื้นที่เล็ก ๆ แค่ระเบียงหรือมุมห้องที่แสงแดดส่องถึงก็เริ่มต้นปลูกได้ทันที
วิธีปลูกผักสลัดในกระถางง่าย ๆ
1. เตรียมดินปลูกให้เหมาะสม
ผสมดินร่วน ปุ๋ยคอก และขุยมะพร้าว ในอัตรา 1:1 เพื่อให้ระบายน้ำดี แล้วนำใส่กระถาง จากนั้นรดน้ำให้ชุ่มและพักดินไว้ในที่ร่มประมาณ 7 วัน
2. เพาะหรือหว่านเมล็ดพันธุ์
เลือกเมล็ดคุณภาพดี โดยทดสอบการงอกง่าย ๆ แค่วางเมล็ดบนกระดาษทิชชูชื้นประมาณ 100 เมล็ด ห่อใส่ถุงพลาสติกไว้ในที่อุ่น 2-3 วัน หากงอกเกิน 85% ถือว่าใช้ได้ จากนั้นหยอดเมล็ดลึกประมาณ 4 นิ้ว ในกระถางที่มีความลึกประมาณ 20-25 เซนติเมตร
3. วางกระถางในจุดที่ได้รับแสงแดดและรดน้ำเป็นประจำ
วางกระถางในจุดที่ได้รับแสงแดดอ่อนถึงปานกลางประมาณ 4-6 ชั่วโมงต่อวัน และรดน้ำเช้า-เย็นหรือเมื่อหน้าดินเริ่มแห้ง ให้ดินชื้นแต่ไม่แฉะ เพื่อป้องกันรากเน่า
4. ดูแลป้องกันแมลง
ตรวจใบเป็นประจำ ใช้น้ำหมักสะเดาหรือสเปรย์น้ำส้มควันไม้แบบเจือจางหากเริ่มพบแมลงรบกวน
5. เก็บเกี่ยวเมื่อผักโตเต็มวัย
สามารถตัดใบรอบนอกมากินก่อนเพื่อให้ต้นแตกใบใหม่ หรือตัดทั้งต้นเมื่อครบระยะเวลาเก็บเกี่ยว ทั้งนี้ควรเก็บในช่วงเช้าที่ใบสดที่สุด และเก็บตามปริมาณที่ต้องใช้ เพื่อคงความสดใหม่
วิธีปลูกผักสลัดในขวดพลาสติกสำหรับพื้นที่น้อย

สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในคอนโดหรือบ้านที่มีพื้นที่จำกัด สามารถปลูกผักสลัดกินเองได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้ขวดพลาสติก ซึ่งช่วยประหยัดพื้นที่และประหยัดงบ แถมยังเป็นการรีไซเคิลภาชนะไปในตัวอีกด้วย
วิธีปลูกผักสลัดในขวดง่าย ๆ
1. เพาะเมล็ด
นำมูลไส้เดือนใส่ถ้วย หย่อนเมล็ด พรมน้ำให้ชุ่ม แล้วปิดฝาไว้ 2 วันจนเริ่มงอก จากนั้นเปิดฝาและวางในที่มีแสงแดดรำไร 5 วันก่อนย้ายต้นกล้าลงถาดเพาะ พร้อมพรมน้ำให้ชุ่มสม่ำเสมอจนต้นเป็นต้นกล้าแข็งแรงพร้อมย้ายไปปลูกในขวด
2. เตรียมขวดปลูก
ตัดขวดพลาสติกเป็น 2 ท่อน เจาะรูที่ฝาและก้นเพื่อระบายน้ำ และเจาะรูด้านบนสำหรับร้อยลวดแขวน
3. ย้ายต้นกล้าลงปลูกในขวด
เติมดินร่วนที่ผสมกับปุ๋ยคอก กาบมะพร้าวสับ และขี้เถ้าแกลบให้เต็มขวด แล้วย้ายต้นกล้าผักสลัดลงไปในช่วงกลางคืน แล้วรดน้ำให้ชุ่ม
4. พักต้นกล้าในแสงรำไร
แขวนขวดไว้ใต้ซาแรน 1-2 วัน จนต้นตั้งตัวดี จึงย้ายไปยังที่แดดจัด 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
5. ดูแลน้ำและป้องกันแมลง
รดน้ำวันละหลายครั้งเพื่อป้องกันใบเหี่ยว และฉีดพ่นสารสกัดจากพืช เช่น สะเดา หางไหล หรือน้อยหน่า เพื่อป้องกันศัตรูพืช
6. ให้ปุ๋ยและเก็บเกี่ยว
เมื่ออายุ 7-10 วันหลังย้ายปลูก ให้ใส่มูลไส้เดือนเพิ่มที่โคนต้นและบำรุงด้วยฮอร์โมนนมเป็นระยะ จากนั้นปลูกต่อจนครบระยะเวลาเก็บเกี่ยว
วิธีปลูกผักสลัดในกล่องโฟมแบบไฮโดรโปนิกส์

วิธีปลูกผักสลัดแบบไฮโดรโปนิกส์เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการผักสะอาด ปลอดสาร และใช้พื้นที่ไม่มาก โดยใช้กล่องโฟม ตาข่ายรองน้ำ และน้ำปุ๋ยก็สามารถปลูกได้ง่าย ๆ ที่บ้าน
วิธีปลูกผักสลัดแบบไฮโดรโปนิกส์ง่าย ๆ
1. เพาะเมล็ดบนฟองน้ำให้พร้อมย้ายปลูก
วางฟองน้ำลงในถาดแล้วราดน้ำให้ทั่ว จากนั้นใช้นิ้วกดเบา ๆ เพื่อไล่อากาศออกจนฟองน้ำอุ้มน้ำเต็มที่ หย่อนเมล็ดในรอยแยกโดยให้เมล็ดเสมอกับผิวฟองน้ำ แล้วใช้สเปรย์พ่นน้ำอีกครั้งก่อนปิดภาชนะให้มืด 2 วันจนเริ่มงอก จากนั้นเปิดให้รับแสงรำไรใต้ซาแรน 50% โดยรักษาความชื้นเสมอ
2. เลี้ยงต้นกล้าและเริ่มให้ปุ๋ย
เมื่อต้นกล้าอายุ 7 วันควรเริ่มให้ปุ๋ย โดยผสมปุ๋ยสูตร A และ B ตามสัดส่วนผู้ผลิต กำหนดค่า EC ให้เหมาะสมที่ 1,400-1,700 µS/cm และค่า pH ประมาณ 6.0 แล้วดูแลต่ออีก 5 วัน
3. เตรียมกล่องโฟมและย้ายกล้าลงปลูก
เมื่อต้นกล้าอายุ 12 วันและมีใบ 2-3 คู่ ให้เตรียมกล่องโฟมด้วยการเติมน้ำสะอาดแล้วผสมปุ๋ยตามสูตร จากนั้นวางฝาที่เจาะรู นำต้นกล้าพร้อมฟองน้ำใส่ถ้วยปลูกแล้วหย่อนลงในรู แล้วเช็กให้ฟองน้ำสัมผัสผิวน้ำพอดี เพื่อให้รากรับสารอาหารได้ดี
4. ดูแลแสง น้ำ และระดับธาตุอาหารอย่างเหมาะสม
ตั้งกล่องปลูกไว้ในจุดที่ได้รับแสงแดดอ่อน ๆ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน และเมื่อผักอายุประมาณ 28 วัน ให้ลดระดับน้ำในกล่องให้ต่ำก้นถ้วยปลูกประมาณ 1 นิ้ว พร้อมควบคุมอุณหภูมิน้ำให้อยู่ที่ 20-28 องศาเซลเซียส เพื่อให้ผักสลัดแข็งแรง
5. เปลี่ยนเป็นน้ำสะอาด เพื่อเตรียมเก็บเกี่ยว
เมื่อผักสลัดอายุประมาณ 35 วัน ให้เปลี่ยนจากน้ำผสมปุ๋ยเป็นน้ำสะอาด จากนั้นปล่อยให้โตจนถึงช่วงที่เหมาะกับการเก็บมารับประทาน
ปลูกผักสลัดในบ้านหรือคอนโด ปลูกผักอะไรดี ?
1. เรดโอ๊ค (Red Oak Lettuce)

เรดโอ๊ค (Red Oak Lettuce) ผักสลัดที่มีใบหยักคล้ายใบต้นโอ๊คสีแดงเข้มหรือม่วงแดงแซมสีเขียว ด้วยความกรอบนุ่ม และรสชาติหวานเล็กน้อยจึงนิยมทานสด อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจากแอนโทไซยานิน วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค และกากใยอาหารสูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อการบำรุงสายตา ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบย่อยอาหาร
วิธีการปลูก
เตรียมดินวัสดุปลูก ให้โปร่ง ระบายน้ำได้ดี โดยผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงในดินเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ และหยอดเมล็ดลึกเพียงเล็กน้อยประมาณ 0.5-1 ซม. ในแถวที่เว้นระยะกันพอเหมาะประมาณ 20-25 ซม. เพื่อให้แต่ละต้นมีพื้นที่เติบโต
วิธีการดูแล
แสงแดด: เรดโอ๊คต้องการแสงแดด อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน หากแดดจัดควรพรางแสงด้วยซาแรนเพื่อไม่ให้ใบไหม้
น้ำ: รดน้ำให้ดินชุ่มสม่ำเสมอ แต่ไม่แฉะ โดยทั่วไปรด 2 รอบต่อวัน หรือ 3 รอบต่อวันในช่วงอากาศร้อน เพราะรากของผักสลัดค่อนข้างตื้นและไวต่อความชื้น
ดิน: ควรมีความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 6.0-6.5 เพื่อให้ธาตุอาหารเข้าถึงรากได้ดี
อุณหภูมิ: เรดโอ๊คชอบสภาพอากาศเย็นถึงอบอุ่น โดยเฉพาะอากาศไม่ร้อนจัดเกินไปจะช่วยให้โตเร็วและไม่ออกดอกก่อนเวลา
วิธีการเก็บเกี่ยว
ตัดบริเวณโคนต้น เมื่ออายุประมาณ 40-55 วัน จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดและสลัดน้ำออก เพื่อไม่ให้เน่าเสียง่าย
ควรเก็บในช่วงเช้าที่ใบยังสดเพื่อให้รสชาติหวานกรอบที่สุด และเก็บเฉพาะปริมาณที่ต้องใช้ในแต่ละวัน
2. กรีนโอ๊ค (Green Oak Lettuce)

กรีนโอ๊ค เป็นผักสลัดที่มีใบหยักแบบเรดโอ๊ค แต่มีสีเขียวสด กรอบอ่อน รสชาติหวานและไม่ขม ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับใส่ในสลัดสด แซนด์วิช และเมนูเพื่อสุขภาพต่าง ๆ ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค สารต้านอนุมูลอิสระ และไฟเบอร์สูง ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา ส่งเสริมระบบย่อยอาหาร และควบคุมน้ำหนัก
วิธีการปลูก
หยอดเมล็ดลงในดินที่มีสารอาหารเหมาะสมในระดับความลึก 4 นิ้ว แล้วกลบดินบาง ๆ วางในที่แดดรำไร หมั่นรดน้ำสม่ำเสมอ และเลือกใช้ปุ๋ยละลายน้ำ แต่ถ้าปลูกในฤดูฝนควรปลูกในที่ร่ม เนื่องจากไม่ทนฝน เมื่อต้นกล้าพร้อมปลูก สามารถย้ายลงแปลงในระยะ 20×20 เซนติเมตร เพื่อให้พุ่มโปร่ง หรือปลูกในกระถาง-กระบะที่มีความลึก 20-25 เซนติเมตร เพื่อให้รากเจริญได้เต็มที่
วิธีการดูแล
แสงแดด: กรีนโอ๊คชอบแสงแดดอ่อนถึงปานกลาง ควรให้ได้รับแสงแดดประมาณ 4-6 ชั่วโมงต่อวัน โดยเฉพาะในช่วงเช้า
น้ำ: รดน้ำเป็นประจำ เพื่อป้องกันการคายน้ำ รวมถึงพ่นฮอร์โมนนม เพื่อบำรุงใบกรีนโอ๊ค
อุณหภูมิ: กรีนโอ๊คเป็นผักสลัดที่ชอบอากาศเย็น โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ที่ 10-24 องศาเซลเซียส
วิธีการเก็บเกี่ยว
เก็บเกี่ยวเมื่ออายุประมาณ 40-55 วันหลังปลูก โดยตัดบริเวณโคนต้น จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดและสลัดน้ำออก เพื่อไม่ให้เน่าเสียง่าย
ควรเก็บในช่วงเช้าเมื่อใบยังสดเพื่อรักษาคุณภาพและรสชาติ
3. ผักคอส กรีนคอส หรือ ผักกาดโรเมน (Cos Lettuce or Romaine Lettuce)

ผักคอส กรีนคอส หรือผักกาดโรเมน เป็นผักสลัดที่มีใบยาวเรียว กรอบแน่น มีรสหวานอ่อน และไม่เหม็นเขียว นิยมใช้ในเมนูซีซาร์สลัด อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินบี กรดโฟลิก และแร่ธาตุหลายชนิด โดยเฉพาะฟอสฟอรัส แคลเซียม และธาตุเหล็ก ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคโลหิตจาง พร้อมไฟเบอร์สูงที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
วิธีการปลูก
ฝังเมล็ดลงในดินลึกประมาณ 1/8 นิ้ว หรือ 0.3 เซนติเมตร ซึ่งเป็นระดับเหมาะสมสำหรับเมล็ดผักคอสที่ต้องการความตื้นเพื่อให้งอกดี โดยเมล็ดจะงอกและลำต้นจะยาวขึ้นประมาณ 1 นิ้วภายใน 3-4 สัปดาห์ จากนั้นจึงย้ายต้นกล้าลงกระถางใหญ่หรือแปลงปลูก ทั้งนี้ก่อนย้ายควรลดการรดน้ำและลดอุณหภูมิรอบ ๆ ต้นกล้าเล็กน้อยเป็นเวลา 3 วัน เพื่อช่วยให้ต้นปรับตัวและแข็งแรงก่อนลงปลูก
วิธีการดูแล
แสงแดด: หากปลูกในช่วงฤดูร้อนอาจทำให้ใบไหม้หรือรสชาติขม จึงควรใช้ซาแรนพรางแสง 40-50% ในช่วงกลางวัน หากเป็นช่วงฤดูฝน ควรมีพลาสติกคลุมโรงเรือน เพื่อป้องกันน้ำฝน จนทำให้ใบช้ำ และลดความชื้นเกินไป
น้ำ: หมั่นรดน้ำทุกเช้า-เย็น รวมถึงใส่ปุ๋ยทุกสัปดาห์ เพื่อเสริมการเจริญเติบโต
วิธีการเก็บเกี่ยว
ผักคอสสามารถเก็บได้เมื่ออายุ 40-55 วันหลังปลูก หากปล่อยให้โตนานขึ้นจนถึง 60 วันจะได้ผักคอสกอใหญ่ ใบแน่นและกรอบมากขึ้น
4. บัตเตอร์เฮด (Butterhead Lettuce)

บัตเตอร์เฮด หรือที่เรียกว่าผักกาดบอสตัน หรือบิบ ในอเมริกา มีใบหยักคล้ายกรีนโอ๊คซ้อนกันแน่นเป็นทรงแบบกะหล่ำปลี รสชาติหวานกรอบ อุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค กรดโฟลิก และสารต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งมีไฟเบอร์สูง ช่วยระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำตาล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการอาหารแคลอรีต่ำและปรับสมดุลการขับถ่าย
วิธีการปลูก
ใช้กระถางเพาะกล้าสูงประมาณ 4 นิ้ว ใส่ดินร่วนผสมปุ๋ยหมักและวัสดุโปร่ง ระหว่างเพาะควรตั้งกระถางไว้ในที่ร่ม หรือแสงรำไรเพื่อช่วยให้ต้นกล้าตั้งตัวได้ดี เมื่อต้นกล้าเริ่มมีใบขึ้นให้ย้ายลงกระถางใหญ่หรือแปลงดินที่ใช้ดินร่วนระบายน้ำ ผสมปุ๋ยคอกและใบไม้แห้งบดเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ ก่อนตั้งกระถางในที่ที่แดดส่องถึงหรือแดดรำไร
วิธีการดูแล
การปลูกบัตเตอร์เฮดในกระถาง: ผสมดินร่วน ปุ๋ยคอก กาบมะพร้าวสับ และขี้เถ้าแกลบให้ร่วนซุย แล้วรดจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงก่อนย้ายต้นกล้าลงปลูก จากนั้นตั้งกระถางไว้ให้ได้รับแดดอ่อน ๆ 6-8 ชั่วโมง รดน้ำสม่ำเสมอ และฉีดพ่นฮอร์โมนนมเป็นระยะ
การปลูกบัตเตอร์เฮดแบบไฮโดรโปนิกส์: เพาะเมล็ดในแก้วเพาะที่ใส่ขุยมะพร้าวจนต้นกล้าอายุ 10-14 วัน แล้วจึงย้ายลงกล่องโฟมที่ผสมน้ำสารละลายธาตุอาหาร A และ B พร้อมเจาะช่องสำหรับแก้วเพาะ ดูแลระดับน้ำและค่า EC ให้เหมาะสมที่ประมาณ 1.1-1.8
วิธีการเก็บเกี่ยว
บัตเตอร์เฮดจะพร้อมเก็บเกี่ยวเมื่ออายุประมาณ 65-80 วันหลังเพาะเมล็ด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและวิธีการปลูก
หากต้องการหัวสวยให้รอโตเต็มที่จึงตัดที่โคน แต่หากต้องการเก็บกินเรื่อย ๆ ทีละน้อยสามารถเด็ดใบรอบนอกได้
5. ฟิลเลย์ไอซ์เบิร์ก (Frillice Ice Berg Lettuce)

สาย Healthy ต้องไม่พลาดฟิลเลย์ไอซ์เบิร์ก ผักสลัดยอดนิยม ที่มีใบหยัก รสอ่อน และฉ่ำน้ำ กรุบกรอบ อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินเค ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ขับน้ำนมให้คุณแม่มือใหม่ รวมถึงมีไฟเบอร์สูงและพลังงานต่ำประมาณ 14 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม เหมาะกับการกระตุ้นระบบขับถ่ายและควบคุมน้ำหนัก
วิธีการปลูก
ฟิลเลย์ไอซ์เบิร์ก เป็นผักสลัดตระกูลเดียวกับคะน้าที่สามารถปลูกได้ตลอดปี โดยวิธีการปลูกให้เริ่มจากการเพาะเมล็ดประมาณ 7 วัน และใส่ปุ๋ยอ่อน ๆ ที่มีค่า EC ประมาณ 1.0-1.2 ms/cm หากเริ่มมีใบหรือครบ 10-14 วัน จึงย้ายลงแปลงปลูกแล้วดูแลต่อไป
วิธีการดูแล
ปรับค่า EC ให้เหมาะสม และลดการคายน้ำเมื่ออากาศร้อน: ในระบบไฮโดรโปนิกส์ควรปรับ ค่า EC ให้อยู่ในระดับต่ำอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะช่วงอากาศร้อน เพื่อป้องกันอาการขอบใบไหม้ (tip burn) พร้อมทั้งช่วยลดการคายน้ำของใบด้วยการพรางแสงหรือ สเปรย์น้ำเพื่อลดอุณหภูมิและเพิ่มความชื้นในอากาศ
ให้อาหารเสริมแคลเซียม-โบรอนเพื่อป้องกันขอบใบไหม้: ฟิลเลย์ไอซ์เบิร์กมีโครงสร้างใบหยิกซ้อนกันหลายชั้น จึงไวต่อโรคขอบใบไหม้ ควรฉีดพ่นธาตุแคลเซียม-โบรอนทางใบเป็นประจำ เพื่อช่วยเสริมสร้างผนังเซลล์และลดความเสียหายของใบที่เกิดจากความร้อนและสารอาหารไม่สมดุล
วิธีการเก็บเกี่ยว
สามารถเก็บเกี่ยวฟิลเลย์ไอซ์เบิร์กได้ในช่วง 40-50 วันหลังปลูก โดยตัดที่บริเวณโคนต้น
หากบริโภคน้อย สามารถดึงเฉพาะใบบางส่วนแล้วปล่อยให้เจริญเติบโตต่อได้
6. ผักกาดหอมคริปส์เฮดหรือผักกาดแก้ว (Iceberg or Crisphead Lettuce)

ผักกาดหอมคริปส์เฮด ที่หลายคนเรียกว่า ผักกาดแก้ว หรือไอซ์เบิร์ก มีใบอ่อนสีเขียวสด อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน และธาตุเหล็กที่ช่วยปรับสมดุลการไหลเวียนโลหิต ผ่อนคลาย และหลับสบาย
วิธีการปลูก
เลือกเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์แล้วเพาะลงในถาดเพาะกล้า หลุมละ 2-3 เมล็ด รดน้ำให้ชื้นแบบพอดี แล้ววางถาดไว้ในที่มีแสงรำไร ต้นอ่อนจะงอกภายใน 5-10 วัน เมื่อเริ่มมีใบให้ตัดต้นที่อ่อนแอทิ้ง เหลือไว้เพียงต้นที่แข็งแรงที่สุดในแต่ละหลุม จากนั้นจึงย้ายต้นกล้าไปปลูกต่อในภาชนะหรือแปลงที่เตรียมไว้
วิธีการดูแล
อุณหภูมิ: ผักกาดแก้วเป็นพืชที่ต้องการอากาศเย็นสม่ำเสมอเพื่อให้ห่อหัวได้ดี โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 18-25 องศาเซลเซียส ในเวลากลางวัน และ 10-15 องศาเซลเซียสในตอนกลางคืน หากอากาศไม่เย็นพอผักจะไม่ห่อหัว แต่ยังคงเติบโตได้ตามปกติ เพียงแต่ออกใบเป็นพุ่มเปิดแทนการสร้างหัวแน่น
น้ำ: รดน้ำสม่ำเสมอ และให้ปุ๋ยไนโตรเจนแบบปุ๋ยน้ำเป็นระยะ เพื่อส่งเสริมการเจริญของใบและให้ผลผลิตงอกงาม
วิธีการเก็บเกี่ยว
ผักกาดแก้วหรือผักกาดหอมคริปส์เฮดพร้อมเก็บเกี่ยวเมื่ออายุประมาณ 60-70 วันหลังปลูก
7. กรีนโครอล หรือ ผักกาดหอม (Green Coral Lettuce)

กรีนโครอล หรือผักกาดหอม มีใบหยักซ้อนและช่วงข้อถี่กลายเป็นพุ่มคล้ายปะการัง ประกอบด้วยดอก 10-25 ดอกต่อช่อ ก้านกรอบ และรสหวานเล็กน้อย อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินเคที่ช่วยเสริมการทำงานของร่างกาย พร้อมโฟเลตที่ช่วยสร้างเซลล์ใหม่และเสริมการทำงานของระบบประสาท รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งบางชนิด
วิธีการปลูก
เริ่มเพาะเมล็ดในถาดเพาะหรือกระถางขนาดเล็กที่บรรจุดินร่วนผสมเศษใบไม้และอินทรียวัตถุให้ดินชื้นพอดีแล้ววางไว้ในบริเวณที่ได้รับแสงรำไร ต้นอ่อนจะค่อย ๆ โตขึ้นจนสูงราว 1 นิ้วภายในประมาณ 3-4 สัปดาห์
ก่อนย้ายปลูกให้ลดการให้น้ำและปรับสภาพต้นให้คุ้นกับอุณหภูมิภายนอกสักระยะ เพื่อช่วยให้ต้นแข็งแรง จากนั้นจึงย้ายลงปลูกในแปลงหรือกระถางใหญ่ตามต้องการ โดยวางระยะปลูกที่เหมาะสม ไม่ปลูกถี่จนเกินไป เพื่อให้มีอากาศถ่ายเทและลดความชื้นสะสม
วิธีการดูแล
ใช้สารสกัดสมุนไพรเพื่อลดแมลงปากดูดเมื่อปลูกเป็นผักสวนครัว เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคที่พบได้บ่อย อาทิ โรคโคนเน่าเชื้อ Sclerotinia โรคราขาว โรคราน้ำค้าง และโรคใบจุดเซฟทอเรีย ซึ่งมักเกิดในสภาพดินแฉะหรือมีร่มเงาบดบังแสง รวมถึงเพลี้ยอ่อนที่มักพบในช่วงปลูกนอกฤดูกาล
วิธีการเก็บเกี่ยว
กรีนโครอล หรือผักกาดหอมสามารถเก็บมาบริโภคต่อได้เมื่อมีอายุ 45-55 วันหลังปลูก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการปลูกด้วย
8. เรดโครอล หรือ ผักกาดหอมแดง (Red Coral Lettuce)

เรดโครอล หรือผักกาดหอมแดง เป็นคู่แฝดของกรีนโครอลที่ต่างกันเพียงสีใบ โดดเด่นด้านคุณประโยชน์ ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ หลอดเลือด เบาหวาน และโรคเรื้อรังบางชนิด รวมถึงมะเร็ง
วิธีการปลูก
เริ่มต้นเพาะเมล็ดในถาดเพาะหรือกระถางเล็กที่ใส่ดินร่วนผสมอินทรียวัตถุให้มีความชื้นพอเหมาะ แล้วตั้งไว้ในบริเวณที่ได้รับแสงรำไร เมล็ดจะงอกและตั้งตัวจนมีลำต้นสูง 1 นิ้วภายในไม่กี่สัปดาห์ เมื่อกล้าแข็งแรงดี ค่อยปรับลดน้ำและอุณหภูมิรอบ ๆ ก่อนย้ายลงแปลงหรือกระถางใหญ่ โดยเว้นระยะต้นให้สามารถระบายอากาศและลดความอับชื้นได้
วิธีการดูแล
ระวังเพลี้ยอ่อน: ที่มักพบเมื่อลงปลูกนอกฤดู โดยเลือกใช้สารสกัดสมุนไพรฉีดพ่นเพื่อป้องกันแมลงปากดูด พร้อมทั้งดูแลไม่ให้ดินแฉะเพื่อลดความเสี่ยงของโรคที่พบบ่อย เช่น โคนเน่า Sclerotinia ราขาว ราน้ำค้าง และโรคใบจุดเซฟทอเรีย ซึ่งมักเกิดในพื้นที่ที่ความชื้นสูงหรือแสงไม่เพียงพอ
แสง: ให้ต้นเรดโครอลได้รับแสงแดดอ่อน ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อคงสีแดงอมม่วงของใบ หากแดดจัดเกินไปควรพรางแสงเพื่อป้องกันใบไหม้
วิธีการเก็บเกี่ยว
เรดโครอลหรือผักกาดหอมแดงเป็นผักที่มีอายุสั้น สามารถเก็บเกี่ยวได้ใน 30-45 วันหลังปลูก
9. ผักร็อคเก็ต หรือผักอลูกูล่า (Rocket Arugula Lettuce)

ผักร็อคเก็ต หรือเรียกอีกชื่อว่า ผักอลูกูล่า ใบยาวคล้ายใบตำลึง มีกลิ่นหอมฉุนและรสชาติเป็นเอกลักษณ์ อุดมไปด้วยวิตามินเอ 2,353IU ต่อ 100g วิตามินซี โพแทสเซียม และแคลเซียมสูง 16% ช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและเสริมภูมิคุ้มกัน
วิธีการปลูก
เตรียมพื้นที่ปลูกด้วยการขุดเป็นร่องตื้น โดยมีความลึกประมาณไม่เกิน 1 เซนติเมตร แล้วรดน้ำให้ดินมีความชุ่มก่อนหยอดเมล็ด จากนั้นวางเมล็ดเป็นคู่ห่างกันประมาณ 6 เซนติเมตรตลอดแนวร่อง แต่หากมีหลายแถวควรเว้นระยะระหว่างแถวประมาณ 15 เซนติเมตร เพื่อให้ต้นอ่อนมีพื้นที่เติบโตที่สามารถถ่ายเทอากาศได้ดี
วิธีการดูแล
แสง: ผักร็อคเก็ตต้องการแสง 12-14 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้เจริญเติบโตดี หากปลูกในพื้นที่แสงธรรมชาติไม่พอ ควรใช้ไฟ LED สำหรับปลูกพืช เพื่อช่วยเร่งการเติบโตและทำให้ใบแข็งแรง
อุณหภูมิ: ควรรักษาอุณหภูมิไว้ที่ประมาณ 15-21 องศาเซลเซียส ให้พืชชนิดนี้เติบโตได้ดีที่สุด ทั้งยังช่วยให้กลิ่นและรสของใบอ่อนมีความหอมสดชื่นตามธรรมชาติ
วิธีการเก็บเกี่ยว
เริ่มเก็บใบเมื่อมีความยาวประมาณ 2-3 นิ้ว โดยทั่วไปจะใช้เวลาราว 4 สัปดาห์หลังปลูก
การเด็ดใบออกเป็นประจำจะช่วยกระตุ้นให้ต้นแตกใบใหม่ได้ต่อเนื่อง และยืดอายุการให้ผลผลิตได้นานกว่าการตัดก้านหรือโคนต้น
10. ผักเคล (Kale)

ราชินีผักใบเขียว หรือ ผักเคล อยู่ในตระกูลเดียวกับกะหล่ำ คะน้า และบรอกโคลี อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และวิตาเค รวมถึงแร่ธาตุต่าง ๆ จนถูกเรียกว่า Super Food เพราะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงกระดูกและสายตา ลดอาการอักเสบ รวมถึงลดโอกาสการเกิดมะเร็ง เหมาะทั้งการทำสลัด สมูทตี้ ผัด หรือนำไปอบชิปกรอบกินเพลิน ๆ
วิธีการปลูก
ผักเคลปลูกได้ตลอดปี แต่จะเติบโตดีที่สุดในช่วงฤดูหนาว ประมาณเดือนตุลาคม-มกราคม โดยใช้ดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายผสมปุ๋ยคอกแล้วหมักไว้ก่อนปลูก 15-30 วัน นิยมเพาะเมล็ดในถาดหลุมที่บรรจุพีทมอส หยอดหลุมละ 2 เมล็ด รดน้ำสม่ำเสมอจนงอกใน 3-7 วัน
จากนั้นให้คัดเหลือหลุมละหนึ่งต้น ก่อนจะย้ายปลูกเมื่อต้นกล้าอายุ 15-18 วัน สำหรับการปลูกลงกระถางควรใช้ขนาด 10-15 นิ้ว กระถางละหนึ่งต้น หรือปลูกลงแปลงที่ระยะประมาณ 50×50 เซนติเมตรเพื่อให้ทรงพุ่มกว้างและลดความชื้นสะสม
วิธีการดูแล
แสงแดด: ด้วยความที่ผักเคลเป็นพืชทนแดดกว่าใบสลัดทั่วไปจึงต้องการแดดจัดทั้งวัน หากได้แสงเต็มที่ใบจะสีเข้ม รสหวาน และพุ่มแน่น
น้ำ: รดน้ำวันละ 1-2 ครั้งให้พอชุ่ม เติมปุ๋ยอินทรีย์ทุก 30 วันเพื่อเสริมธาตุอาหาร และพรวนดินเป็นระยะเพื่อให้ดินโปร่ง ไม่อับชื้น
ศัตรูพืช: เพลี้ยอ่อนและเพลี้ยแป้งพบได้บ่อยในแปลงปลูกผักเคล สามารถฉีดพ่นน้ำใต้ใบเพื่อเพิ่มความชื้นและลดเพลี้ย หรือใช้สารชีวภัณฑ์ เช่น เชื้อราเมธาไรเซียม และ บิวเวอเรีย ช่วยกำจัดแมลงโดยไม่ใช้สารเคมี
วิธีการเก็บเกี่ยว
เริ่มเก็บได้ตั้งแต่ประมาณ 45 วันหลังปลูก โดยใช้วิธีตัดใบล่างออกทีละใบ เพื่อกระตุ้นให้ยอดด้านบนแตกใบใหม่
ควรเหลือใบไว้บนต้นอย่างน้อย 6-7 ใบ เพื่อให้ต้นได้สังเคราะห์แสงและเติบโตต่อไป
ทริกปลูกผักสลัดฉบับมือใหม่ ให้ปลูกง่าย โตไว พร้อมอร่อยได้ทุกวัน

แม้จะเป็นมือใหม่หรือมีพื้นที่ปลูกจำกัด ก็สามารถเก็บผักสลัดสดกรอบไว้กินทุกวันได้ เพียงเข้าใจทริกปลูกผักสลัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้ผักโตไว ใบสวย และรสชาติดี ดังนี้
เลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ: ควรเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ระบุวันผลิต-วันหมดอายุ พร้อมเปอร์เซ็นต์การงอก โดยไม่เกิน 1 ปี และมีอัตราการงอกมากกว่า 80% เพื่อให้มั่นใจว่า ได้เมล็ดสดใหม่และพร้อมปลูก
แก้ปัญหาผักแคระแกร็นด้วยฮอร์โมนนมสด: หากผักสลัดโตช้า สามารถฉีดพ่นฮอร์โมนนมสดช่วยบำรุงได้ โดยผสมนมสด 1 ลิตร นมเปรี้ยว 80 มิลลิลิตร และน้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันและหมักไว้ 2-3 วัน จากนั้นนำมาผสมน้ำในอัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 1 ลิตร แล้วฉีดพ่นในช่วงเช้าเพื่อให้ใบรับสารอาหารได้ดี
เวลาตัดผักมีผลต่อรสชาติ: หลีกเลี่ยงการตัดผักช่วงกลางวันเพราะอากาศร้อนทำให้ใบขม ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าหรือเย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่า รวมถึงเก็บผักสลัดในระยะเก็บเกี่ยว จะได้ผักรสหวาน กรอบ อร่อยกว่า
คำถามน่ารู้เกี่ยวกับการปลูกผักสลัด
พื้นที่ที่ใช้ในการปลูกผักสลัดควรมีลักษณะอย่างไร?
พื้นที่ปลูกผักสลัดควรมีขนาดเหมาะสมกับสายพันธุ์และจำนวนต้นที่จะปลูก โดยใช้ดินร่วนซุย อุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี และมีค่า pH ประมาณ 6-6.5 ควรได้รับแสงแดดอ่อน ๆ วันละ 4-8 ชั่วโมง เพื่อให้ผักสลัดเจริญเติบโตแข็งแรงและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ
สามารถปลูกผักสลัดได้ตลอดปีหรือไม่?
ผักสลัดสามารถปลูกได้ตลอดปี แต่จะเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในสภาพอากาศเย็น หากปลูกในฤดูร้อนควรปลูกในที่ร่มหรือมีแสงแดดรำไร โดยใช้ซาแรนช่วยพรางแสงแดด รวมถึงควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสม
ผักสลัดไฮโดรโปนิกส์แตกต่างจากที่ปลูกดินอย่างไร?
ผักสลัดไฮโดรโปนิกส์ปลูกโดยไม่ใช้ดิน แต่ใช้น้ำผสมสารอาหาร ทำให้ควบคุมคุณภาพและความสะอาดได้ดี ผักเจริญเติบโตเร็ว ใบกรอบสวย และลดปัญหาโรคจากดิน ส่วนผักสลัดที่ปลูกในดินดูแลง่ายกว่าและผักแข็งแรงกว่า แต่ใช้เวลาปลูกนานกว่า
รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสวน จาก Bangkok CitiSmart ตามอ่านต่อได้ที่
เลือกโครงการดีไซน์สวย ลงตัวทุกการใช้ชีวิต ต้องที่ Bangkok CitiSmart

หากคุณกำลังมองหาโครงการบ้านและคอนโดที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ให้ Bangkok CitiSmart บริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ด้วยทีมงานมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ช่วยคุณเลือกสรรทำเลที่มีศักยภาพ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า พร้อมทั้งให้คำแนะนำและดูแลการลงทุน เช่า หรือขายทรัพย์สินได้อย่างมืออาชีพ เพื่อให้ลูกค้าลงทุนได้อย่างมั่นใจในอนาคต
ปรึกษารายละเอียดกับเจ้าหน้าที่ คลิก!
สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
📱 โทร: 02-661-8999
💬 Line Official:@bangkokcitismart
ค้นหาคอนโดบนทำเลแนะนำได้ที่
📍 รวมประกาศซื้อขายคอนโดติดรถไฟฟ้า
📍 รวมประกาศซื้อขายคอนโดใกล้มหาลัย
📍 รวมประกาศซื้อขายคอนโดสุขุมวิท
📍 รวมประกาศซื้อขายคอนโดพระราม 4
📍 รวมประกาศซื้อขายคอนโดพระราม 9



