บทความ

วันที่ 15 สิงหาคม 2559

กู้ซื้อคอนโดยังไงให้ง่าย ตามสไตล์มนุษย์ออฟฟิศ

กู้ซื้อคอนโด

เชื่อว่ามนุษย์ออฟฟิศหลายคน ต้องการความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ต้องการที่จะพักอาศัยใกล้ที่ทำงาน เพื่อลดเวลาการเดินทาง คอนโดติดรถไฟฟ้าจึงเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี

มนุษย์ออฟฟิศที่อยากมองหาคอนโดนทำเลดีดีสักแห่ง จึงต้องมีการเตรียมตัว ทั้งเรื่องเงิน และการหาข้อมูลให้ดี ก่อนการตัดสินใจเพื่อจะได้กู้ซื้อคอนโดได้ง่าย แบบผ่อนสบายๆ แต่ทำอย่างไรนั้น ที่นี่มีคำตอบ...


1. ตรวจสอบรายได้ของตัวเองเพื่อประเมินวงเงินกู้สินเชื่อ เพื่อหาคอนโดที่มีราคาเหมาะสม

กู้ซื้อคอนโด

อันดับแรกมาทำความเข้าใจก่อนว่า กู้สินเชื่อ คือ การขอยืมเงินจากธนาคารแล้วค่อยผ่อนคืนทีหลัง บางคนสามารถกู้ได้ 100% หรือเต็มจำนวน แต่บางคนกู้ได้ไม่เกิน 90% ของราคาขายหรือราคาประเมิน ซึ่งจะได้มากน้อยแตกต่างกันไปตามสัดส่วนรายได้ หรือกำลังผ่อนของแต่ละคน แต่โดยส่วนใหญ่จะกู้ได้ประมาณ 50 เท่าของรายได้ นอกจากใครที่มีเครดิต ประวัติการชำระหนี้ที่ดี อาจจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ กู้ได้มากกว่า 50 เท่าของรายได้

รายได้ของมนุษย์เงินเดือนแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ

  1. มนุษย์เงินเดือนน้องใหม่ หรือ Junior จะได้เงินเดือนโดยประมาณ 15,000 - 30,000 บาท ( ธนาคารมีวงเงินกู้สินเชื่อให้ประมาณ 750,000 - 1,500,000 บาท )
  2. มนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ หรือ Senior จะได้เงินเดือนโดยประมาณ 30,000 - 60,000 ( ธนาคารมีวงเงินกู้สินเชื่อให้ประมาณ 1,500,000 - 3,000,000 บาท )
  3. มนุษย์เงินเดือนระดับบิ๊กบอสหรือ Manager จะได้เงินเดือนโดยประมาณ 60,000 ขึ้นไป ( ธนาคารมีวงเงินกู้สินเชื่อให้ประมาณ 3,000,000 บาทขึ้นไป )

ต่อไปเป็นข้อตกลงของการผ่อนจะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าธนาคารบอก ผ่อนล้านละ 7,000 แปลว่าถ้าซื้อคอนโดมาราคา 1 ล้านบาทจะต้องผ่อนให้กับธนาคารเดือนละ 7,000 บาท ถ้าซื้อคอนโดมาราคา 2 ล้านบาทก็ต้องผ่อนเดือนละ 14,000 บาท ตามเงื่อนไขข้อตกลง

##READMORE##  

2. ผ่อนไม่เกินตัว หรือ ผ่อนไม่เกิน 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน

กู้ซื้อคอนโด

ทำไมต้องไม่เกิน 1 ใน 3 ของรายได้ เพราะ 1 ใน 3 เป็นเงินที่ทุกคนจะผ่อนไหวโดยไม่เดือนร้อน หรือกระทบกับเงินที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน โดยปกติจะแบ่งสัดส่วนรายได้ออกเป็น 3 ส่วน คือเงินที่จำเป็นต้องใช้ หรือเงินที่ใช้จ่ายประจำ เงินเก็บออม หรือเงินไว้ใช้ยามฉุกเฉิน และเงินผ่อน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเงินลงทุนนั้นเอง

*ข้อแนะนำ อย่าผ่อนเกิน 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมด แต่ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องผ่อนเกินจริงๆ ก็สามารถกู้ร่วมกับญาติพี่น้อง หรือคู่สมรสได้


เมื่อยืมมาก็ต้องมีดอกเบี้ย โดยอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารจะไม่เท่ากันแต่ธนาคารส่วนใหญ่ช่วงปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ยมักจะเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ( Fixed Rate ) คือ อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายในจำนวนที่เท่าๆ กัน ตลอดระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา ส่วนปีที่ 3 ขึ้นไปจะเปลี่ยนเป็น อัตราดอกเบี้ยลอยตัว ( Floating Rate ) คือ อัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ตัวคือ MLR และ MRR

1. MLR ( Minimum Loan Rate ) คือ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่ทางธนาคารจะปล่อยกู้ให้ลูกค้าชั้นดี มักใช้กับเงินกู้เพื่อธุรกิจที่มีระยะเวลานาน ซึ่งแต่ละธนาคารจะไม่เท่ากัน ธนาคารรายใหญ่ MLR มักจะต่ำกว่า

2. MRR ( Minimum Retail Rate ) คือ อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าชั้นดีเช่นกัน จะใช้กับพวกรายย่อย เช่นเงินกู้ส่วนบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย เงินกู้บัตรเครดิต โดย MRR จะมากกว่า MLR ประมาณ 0.5%


กู้ซื้อคอนโด

สำหรับดอกเบี้ยลอยตัว ( MLR และ MRR ) จะต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะจะไม่รู้แน่นอนว่าจะต้องเสียเท่าไหร่ บางครั้งเห็นว่าดอกเบี้ยคงที่ปีแรกๆ ต่ำมาก แต่ปีต่อไปอาจจะเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่สูงมาก ซึ่งจะต้องคำนวนดูตลอดระยะเวลาการผ่อน

ส่วนในเรื่องของการผ่อนจ่าย จะต้องผ่อนเงินต้นบวกกับดอกเบี้ยด้วย โดยเงินต้นจะไปหักออกจากยอดเงินกู้ ส่วนดอกเบี้ยจะเป็นส่วนกำไรของธนาคารไป ยกตัวอย่าง การลงทุนกู้เงินของนาย A และนาย B

ตัวอย่างที่ 1 นาย A ขอกู้เงินธนาคาร 1,000 บาท ดอกเบี้ย 5% ต่อปี ผ่อนทุกเดือนเป็นเวลา 1 ปี ธนาคารบอกว่าจะต้องผ่อน 100 บาททุกเดือน ( จำนวนเงินผ่อนส่วนนี้รวมดอกเบี้ยไปแล้ว ) ซึ่งเงินที่จะผ่อน 100 บาท เดือนแรกจะหักดอกเบี้ยให้กับธนาคารไป 4.11 บาท เงินที่เหลือ 95.89 จะไปชำระเงินต้น เหลือ 904.11 เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนชำระเงินต้นครบเต็มจำนวน

ตัวอย่างที่ 2 นาย B มีเงินเดือน 15,000 บาท ไปขอยื่นกู้คอนโดมาได้วงเงินกู้ 50 เท่าของรายได้เท่ากับ 750,000 บาท ต้องผ่อนล้านละ 7,000 นั่นคือเดือนละ 5,250 บาท เงินผ่อนนี้จะเเบ่งเป็น ชำระดอกเบี้ย 4,315 บาทให้กับทางธนาคาร ชำระเงินต้น 935 บาทซึ่งจะหักออกจากเงินต้น จะเหลือ 749,065 บาท ยกเป็นเงินต้นงวดต่อไปที่จะนำไปคิดดอกเบี้ยเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

3. Re-Finance เพื่อหลีกเหลี่ยง อัตราดอกเบี้ยลอยตัว

กู้ซื้อคอนโด

เมื่อ “ดอกเบี้ยคงที่” เปลี่ยนเป็น “ดอกเบี้ยลอยตัว” ซึ่งไม่แน่นอนว่าในอนาคตจะเป็นเท่าไหร่ สามารถหลีกเลี่ยงเพื่อลดภาระในการผ่อนชำระ ได้ 2 วิธี คือ

1. เอาเงินก้อนที่เก็บสะสมมาจ่ายทบเพื่อให้เงินต้นที่เหลืออยู่ลดลง จะทำให้เราจ่ายดอกเบี้ยลดลงด้วย แต่บางธนาคารอาจมีเงื่อนไขกำหนด “ห้าม” นำเงินมาทบก่อนกำหนดเวลา ต้องศึกษานโยบายของธนาคารให้ดีเสียก่อน

2. เมื่อผ่อนไปเป็นเวลา 3 ปี ผู้กู้สามารถทำการ Re-Finance ได้ โดยกู้ยืมสินเชื่ออันใหม่มาแทน หรือที่เราเรียกว่า Re-Finance โดยเลือกดอกเบี้ยในอัตราใหม่ที่ถูกกว่าเดิม ช่วยทำให้ลดเงินต้นได้เร็วขึ้น แต่อย่าลืมว่าการ Re-Finance จะต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มเข้ามาด้วย ซึ่งก็ต้องศึกษานโยบายของธนาคารให้ดีเสียก่อนเช่นกัน

*อย่าลืม ดอกเบี้ยที่เสียให้กับธนาคารสามารถนำเอาไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึงปีละ 100,000 บาท

เพียงแค่นี้มนุษย์ออฟฟิศที่กำลังมองหาคอนโดทำเลงามก็จะรู้แล้วว่าการกู้ซื้อคอนโดนั้นไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแค่ประเมินความสามารถในการกู้ยืม และราคาคอนโดที่จะซื้อ ให้มีความเหมาะสมไม่เกินกำลัง แต่ถ้าซื้อคอนโดที่ราคาสูงเกินตัว อาจจะเป็นภาระทางการเงินระยะยาวได้ ดังนั้นควรศึกษาข้อมูลอย่างถี่ถ้วน และตัดสินใจอย่างรอบคอบทุกครั้งก่อนลงทุน

อ่านเพิ่มเติม